Command Palette
Search for a command to run

ทฤษฎีควอนตัมมาจากไหน

กลศาสตร์ควอนตัมถือเป็นหนึ่งในการปฏิวัติทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์ แต่แนวคิดใหม่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวหรือฉับพลัน หากแต่รายล้อมไปด้วยปัญหาทางฟิสิกส์ที่หลากหลายและความพยายามค้นหาคำตอบของผู้คนในหลายหลายยุค หากย้อนกลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หรือรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ฟิสิกส์คลาสสิกซึ่งเคยอธิบายการเคลื่อนที่ แรง และปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าได้อย่างงดงาม เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดจากการทดลองบางชุดที่ให้ผลลัพธ์เกินขอบเขตของคำอธิบายแบบเดิม

จากรากฐานแห่งความขัดแย้งนี้ และสับสนอนลหม่านนี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มตั้งคำถามต่อความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับธรรมชาติของสสารและพลังงาน จนนำไปสู่การถือกำเนิดของทฤษฎีใหม่ที่เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกอย่างสิ้นเชิง นั่นคือทฤษฎีควอนตัมในยุคเริ่มแรกและต่อมาก็เป็นกลศาสตร์ควอนตัมที่ไฮเซนเบิร์กเสนอในปี 1925

ในตอนนี้ ขวัญตาจะพาไปสำรวจ “สามปัญหาสำคัญ” ที่เป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ และเปิดประตูสู่โลกวอนตัมที่ยังคงท้าทายความเข้าใจของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน

ปัญหาแรก: การแผ่รังสีของวัตถุร้อน

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไฟฟ้าเริ่มเข้าถึงผู้คนมากขึ้น พวกคนที่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนหนึ่งก็มักจะมีวัตถุส่องสว่างที่เรียกว่าหลอดไฟด้วย ในยุคนั้นเทคโนโลยียังไม่ได้วิริศมาหราเท่ากับยุคปัจจุบัน หลอดไฟของพวกเขาทำงานอย่างง่าย ๆ เมื่อไฟฟ้าวิ่งผ่านขดลวดที่มีความต้านทานไฟฟ้าสูง ๆ มันก็ร้อนและเปล่งแสงออกมา พวกนักวิทยศาสตร์และอุตสหกรรมในขณะในรับรู้ถึงกฎที่เป็นธรรมชาตินี้อยู่แล้วว่า วัตถุที่ร้อนจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ถ้ามันร้อนพอก็จะเปล่งแสงออกมาด้วยความยาวคลื่นที่ตาเรามองเห็น และยิ่งวัตถุร้อนขึ้นมากเท่าไหร่ก็จะเปล่งแสงออกมาที่ความยาวคลื่นสั้นลง

image of a glowing light bulb ภาพหลอดไส้ที่ส่องสว่าง ภาพจาก Levi Frey

แต่หากว่าคนในยุคนั้นมีเพียงคำบรรยายปรากฎการณ์นี้เท่านั้น ยังไม่มีใครที่มีคำอธิบายที่ดีเกี่ยวกับสาเหตุของปรากฎการณ์นี้ อย่างดีที่สุดในช่วงเวลานั้น นักฟิสิกส์ก็มีเพียงกฎของวีน (Wein’s law) ที่ประมาณค่าความยาวคลื่นที่วัตถุร้อนเปล่งออกมาและเข้มที่สุดในแต่ละอุณหภูมิ1 แต่ก็ไม่มีใครอธิบายว่าเหตุใดพวกมันจึงประพฤติตัวเช่นนี้ ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้น ฟิสิกส์ในยุคนั้นอย่างเรย์ลีและจีนส์ก็ได้ใช้ทฤษฎีที่มีอยู่ในตอนนั้น (ซึ่งภายหลังถูกเรียกว่าเป็นทฤษฎียุคคลาสสิก) ทำนายค่าความเข้มของแสงที่ความยาวคลื่นต่าง ๆ ที่วัตถุร้อนแผ่ออกมา เค้าพบว่าหากกฎทางฟิสิกส์ที่พวกเค้ามีนั้นถูกต้อง แสงที่ความยาวคลื่นต่ำ ๆ ก็ควรจะมีความเข้มเป็นอนันต์ ซึ่งฟังดูแล้วหันมามองโลกแห่งความเป็นจริง ที่ว่ามานั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง วัตถุที่ร้อนนิดหน่อยก็จะปล่อยแสงความยาวคลื่นต่ำเช่นรังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์ออกมาเต็มไปหมดจนไปทำลายทุกสสารที่มีความสลับซับซ้อน ไม่เหลือสารที่จะมีโครงสร้างพอที่จะประกอบเป็นชีวิตขึ้นมาได้เลย

Black body spectral radiance curves for various temperatures after Planck, and comparison with the classical theory of Rayleigh-Jeans (in cgs units). กราฟการแผ่รังสีของวัตถุดำที่อุณหภูมิต่าง ๆ ตามสมการของพลังค์ เปรียบเทียบกับการทำนายตามทฤษฎีคลาสสิกของเรย์ลี–จีนส์ ภาพจาก Darth Kule บน Wikimedia

ทางออก

ในปี 1900 มักซ์ พลังค์ได้เสนอว่าวัตถุร้อนเหล่านี้ปล่อยพลังงานออกมาทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในลักษณะที่เป็นก้อน ๆ (Energieelement)2 มีลักษณะเหมือนกับว่าเป็นเหรียญพลังงานแทนที่จะเป็นค่าเท่าใดก็ได้ (นึกถึงว่าเราใช้เหรียญได้เล็กที่สุดก็คือเหรียญ 25 สตางค์ ในขณะที่ถ้าเราโอนเงินเราจะโอนเศษสตางค์เท่าใดก็ได้) และค่าที่มันสามารถถ่ายโอนกันได้ก็แปรผันตรงกับค่าความถี่ ซึ่งแปลว่ามันผกผันกับค่าความยาวคลื่น ในสมการคณิตศาสตร์เขียนได้ว่า

E=hf=hcλE = h f = \frac{hc}{\lambda}

เมื่อ E คือหน่วยที่เล็กที่สุดของพลังงานที่โอนถ่ายกันได้ hh คือค่าคงที่การแปรผัน cc คือค่าความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ff ค่าความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ λ\lambda คือความยาวคลื่น

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนความเชื่อพื้นฐานของฟิสิกส์ที่ว่าพลังงานและปริมาณต่าง ๆ สามารถที่เป็นค่าอะไรก็ได้และมีความต่อเนื่อง จุดเปลี่ยนนี้แม้จะแปลก ๆ ดูไม่มีที่มาที่ไป แต่ก็ไม่ได้ฟังดูหลุดโลกอะไร แถมยังทำให้ผลลัพธ์ที่ตามมาตรงเผงกับค่าที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะค่าความยาวคลื่นต่ำ ๆ ที่ผลการคำนวณพบว่ามันไม่ได้ปล่อยพลังงานออกมาเป็นอนันต์อีกต่อไปแล้ว

ปัญหาที่ 2: แสงเป็นอนุภาคหรือคลื่น และปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทริกซ์

แสงคืออะไร นี่เป็นคำถามที่นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาต่างพยายามที่จะหาคำตอบและเสนอคำอธิบาย ความพยายามนี้มีมาตั้งแต่ที่เสนอว่าแสงนั้นเป็นรูปหนึ่งของธาตุไฟ (ของทางกรีกและโรมันโบราณ) ในยุคเรเนซองค์ เดการต์ได้เสนอว่าแสงนั้นเคลื่อนที่แบบฉับพลันทันใดและยังประพฤติตัวคล้ายกับคลื่น อันจะเห็นได้จากการหักเหของแสงเมื่อผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน 3 แต่แล้วไม่นาน นิวตันก็ได้สนับสนุนทฤษฎีอีกทางหนึ่งที่ว่าแสงเป็นอนุภาค ผ่านจดหมายที่เขาส่งให้ราชสมาคมอังกฤษตีพิมพ์ในปี 1671 4 นอกจากนั้นเขาก็ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าแสงเป็นคลื่น สาเหตุก็เนื่องจากว่าคลื่นจะต้องมีการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านวัตถุที่มากำบังมัน ส่วนเรื่องการหักเหของแสงเขาก็อธิบายว่าเกิดจากความหนาแน่นที่มากกว่าทำให้อนุถาคของแสงถูกดูดให้เคลื่อนที่เร็วขึ้น (ดูหน้า 270-2 ในหนังสือ Opticks 5) ทฤษฏีของแสงของนิวตันนี้ได้รับความนิยมเทียบเคียงคู่กับทฤษฏีคลื่นของแสง เนื่องจากการทดลองที่ทั้งนิวตันและคนอื่น ๆ ทำเพื่ออธิบายทฤษฎีนี้ ความน่าเชื่อถือ และตำแหน่งแห่งที่ของนิวตัน6 จนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงปี 1865 ที่สหราชอาณาจักร

Refraction of light การหักเหของแสง ภาพจาก Rainald62 บนวิกิมีเดีย

ในปี 1865 ชายวัย 34 ปีที่ชื่อ เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์แวล์ (James Clerk Maxwell) เพิ่งเสนอทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า7 ทฤษฎีนี้เป็นที่น่าสนใจของนักฟิสิกส์และนักประดิษฐ์ในยุคนั้นเป็นอย่างมาก หนึ่งในเหตุผลนั้นก็เพราะว่า เขามาร่วมตอบปัญหาว่าแสงนั้นคืออะไร และทฤษฎีของเขาก็ใช้ได้ดีจนกว่าที่ใคร ๆ จะปฏิเสธมันได้ ในทฤษฎีนี้แสงถูกจัดให้เป็นช่วงความถี่หนึ่งในสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือจะพูดให้สั้น ๆ ว่าทฤษฎีนี้บอกว่าแสงเป็นคลื่น อีกหนึ่งเหตุผลก็คือทฤษฎีนี้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กไว้ว่าเป็นเสมือนกับเหรียญที่อยู่คนละด้าน สำหรับนักฟิสิกส์ทดลองแล้ว นั่นหมายความว่าเราก็ควรจะตรวจจับหรือว่าผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยอุปกรณ์ทางไฟฟ้าสักอย่างได้

ในสิบปีให้หลัง ปี 1886 ไฮน์ริช แฮทซ์ (Heinrich Hertz) ได้เสนอชุดอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ผ่านการสังเกตฟ้าแลปที่อยู่ระหว่างช่องว่างระหว่างขั้วไฟฟ้าสองขั้ว และก็ค้นพบด้วยกว่าหากฉายแสงที่ความถี่สูง ๆ (นั่นคือ ความยาวคลื่นต่ำ ๆ ) บนขั้วไฟฟ้าทำให้เจ้าสายฟ้าแลปนี้เกิดขึ้นได้ในช่องว่างระหว่างกันที่มากขึ้น8

จากนั้นในปี 1897 โยเซฟ จอห์น ทอมสัน (Joseph John Thomson) ก็แสดงให้เห็นว่าสายฟ้าที่แลประหว่างช่องว่างของขั้วไฟฟ้านี้เป็นอนุภาคชนิดเดียวกันกับรังสีที่เรียกว่ารังสีแคโทด9 กล่าวคือ ฟ้าแลปในอุปกรณ์ของแฮทซ์นั้นเกิดจากอิเล็กตรอนที่รับพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลุดออกมาจากตัวโลหะ แต่คำอธิบายนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หากมีความเข้มแสงเพียงพอ ค่าความยาวคลื่นที่สูงกว่าก็ควรจะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาได้เช่นกัน เหตุที่ควรเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพลังงานของคลื่นขึ้นอยู่กับทั้งความยาวคลื่นและก็แอมพลิจูดของคลื่น (ซึ่งคือความเข้มของแสงในกรณีนี้)

หลังจากนั้นไม่นาน ฟิลิปป์ เลอนาร์ด (Philipp Lenard) ก็แสดงให้เห็นผ่านการทดลองว่าความเข้มแสงไม่มีผลใด ๆ กับการทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมา และไม่มีผลต่อพลังงานของอิเล็กตรอนแต่ละตัวที่หลุดออกมาด้วย แต่สิ่งที่มีผลต่อพลังงานของอิเล็กตรอนก็คือความยาวคลื่นของแสงที่ใช้สาดไปที่โลหะ หมายความว่าเราต้องใช้ความยาวคลื่นที่สั้นพอหากจะอยากให้อิเล็กตรอนหลุดออกมา10 (11 page 26) ปัญหานี้ป็นที่น่าฉนงและได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น “ปริทรรศน์ความสว่าง” (apparent paradox)

ต่อมาในปี 1905 ไอน์สไตน์จึงได้เสนอว่าอิเล็กตรอนน่าจะรับพลังงานจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นเฉพาะค่าบางค่าซึ่งเป็นค่าหน่วยพลังงานเดียวกันกับที่พลังค์เสนอ หรืออีกนัยหนึ่งแสงเมื่อถูกดูดกลืนพลังงาน พวกมันทำตัวเหมือนกับว่าแสงเป็นอนุภาคที่มีพลังงานเข้าไปชนกับอิเล็กตรอนและถูกดูดกลืนพลังงาน 12

แนวคิดนี้ยังนำไปสู่การทำนายพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนที่ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความสัมพันธ์ผกผันเชิงเส้นกับความถี่ของคลื่น ซึ่งต่อมาได้ถูกยืนยันด้วยการทดลองของโรเบิร์ต มิลลิแกน13 ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการหาค่าประจุของอิเล็กตรอนด้วยการทดลองหยดน้ำมัน

ภาพแผนผังกระบวนการ photoelectric ภาพแผนผังกระบวนการ photoelectric จาก Ponor บนวิกิมีเดีย

ปัญหาที่ 3: อิเล็กตรอนในอะตอม

ในปี 1911 แบบจำลองรัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าอะตอมมีประจุบวกหนาแน่นอยู่ตรงกลางของอะตอมและมีอิเล็กตรอนพร้อมกับที่ว่างล้อมอยู่รอบ ๆ อย่างไรก็ดีอิเล็กตรอนเหล่านั้นไม่ได้ถูกอธิบายอย่างแน่ชัดว่ามันมีโครงสร้างได้อย่างไร ในเมื่อหากอิเล็กตรอนมันโคจรรอบอะตอมจริง ๆ อิเล็กตรอนเหล่านั้นก็ควรจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาตลอดเวลาจนอิเล็กตรอนมันหมดพลังงานและจมไปรวมกับนิวเคลียสตรงกลาง

อีกประเด็นที่เกี่ยวกับอิเล็กตรอนก็คือ เมื่อเราเอาสารจำพวกธาตุไปทำให้ร้อน เราจะเห็นว่าบางสารจะเปล่งแสงที่มองเห็นได้ออกมา และหากเราเอาไปแยกว่ามีสีอะไรบ้าง (ดูสเปกตรัมของแสง) อาจจะด้วยปริซึมหรือเกรตติง เราจะพบว่าสีที่เปล่งออกมามีเพียงบางสีไม่ได้เป็นป้านของสีเหมือนกับที่เราเห็นในสายรุ้ง

หนึ่งคำอธิบายของสีที่ขาดช่วงมาจาก จอห์น วิลเลียม นิโคลสัน (John William Nicolson) ที่สนใจศึกษาดาราศาสตร์ผ่านสเปกตรัมของดวงดาว เขาเสนอว่าอิเล็กตรอนในอะตอมนั้นเรียงล้อมนิวเคลียสกันอยู่ในลักษณะที่เป็นวงแหวนกับลูกปัด ส่วนเส้นสเปกตรัมที่เราเห็นก็ออกมาจากการสั่นในสายธารของอิเล็กตรอน เขาใช้กลศาสตร์และทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าคลาสสิกในการทำนายค่าความยาวคลื่นที่ปรากฎออกมา14 งานของนิวโคลสันสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะเหตุที่ว่าเขาก็เป็นคนแรกที่เชื่อมโยงค่าคงที่ของพลังค์เข้ามาในแบบจำลองอะตอม โดยเขาเสนอว่าอะตอมนั้นสามารถที่จะเสียหรือได้รับโมเมนตัมเชิงมุมได้ในเฉพาะบางค่าเท่านั้น นอกไปจากนั้น งานที่เขาทำก็ทำให้โปร์เข้าใจว่าการศึกษาสเปกตรัมนั้นเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของอะตอมอย่างไร11

ก่อนไอเดียเรื่องโครงสร้างอะตอมของโปร์ที่ถูกเสนอ หนึ่งในคำบรรยายของสีของเส้นสเปกตรัมก็คือคำบรรยายผ่านสูตรของบาล์เมอร์ (Balmer’s formula) 15 บาล์มเมอร์เป็นนักดาราศาสตร์เขาเสนอสูตรนี้มาเพราะว่าเราจะเห็นเส้นสเปกตรัมในสูตรของเขาได้จากการส่องมองดวงดาวต่าง ๆ แม้ว่าดวงดาวทั้งหลายจะห่างกันหลายปีแสง หรือมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่เขาก็มักจะเห็นสเปกตรัมพวกนี้ได้จากดวงดาวต่าง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าสูตรของบาล์เมอร์นี้บรรยายความยาวคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาจากการเย็นตัวลงของไฮโดรเจน อันเป็นส่วนประกอบสำคัญในดาวฤกษ์หลาย ๆ ดวง เพื่อที่จะเห็นภาพชัด ๆ เราขอเขียนสูตรของบาล์มเมอร์ออกมาว่า

λ=B(m2m2n2)\lambda=B\left(\frac{m^2}{m^2-n^2}\right)

เมื่อ

  • λ คือความยาวคลื่น
  • B ค่าคงที่ มีค่าประมาณ 3.65×1073.65×10^{−7} เมตร
  • m คือจำนวนเต็ม
  • n คือจำนวนเต็มที่น้อยกว่า m

นีลส์ โปร์ในปี 1913 หลังจากขบคิดเรื่องอะตอมมานาน (เขาชอบเจเจทอมสันเป็นการส่วนตัวและได้ติดต่อกับรัทเทอร์ฟอร์ดหลายครั้ง) เขาไปได้ยินเรื่องสูตรเส้นสเปกตรัมของบาล์เมอร์มาจากเพื่อนของเขาที่ศึกษาเรื่องสเปกตรัมที่ชื่อ ฮันส์ มาเรียส ฮันเซน (Hans Marius Hansen) 16 เขาก็ปิิ้งไอเดีย และตีความว่าสูตรนี้สะท้อนให้เห็นโครงสร้างของอะตอมที่มีลักษณะเป็นชั้น ๆ และมีเลขชั้นกำกับที่เป็นจำนวนเต็มชัดเจน11 เขาก็เสนอแบบจำลองเชิงควอนตัมของโครงสร้างอะตอม ที่อธิบายว่าอิเล็กตรอนในอะตอมมีวงโคจรบางวงโคจรที่เสถียร เมื่ออะตอมดูดกลืนหรือปลดปล่อยพลังงานผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อิเล็กตรอนจะกระโดดจากวงโคจรหนึ่งไปสู่อีกวงโคจรหนึ่งในทันที พร้อมกับปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีค่าพลังงานเฉพาะ ซึ่งค่าจำเพาะนี้จะเป็นค่าที่ไม่ต่อเนื่อง และสัมพันธ์กับค่าความยาวคลื่นอย่างที่พลังค์ได้เสนอ 17

Image compare Rutherford's and Bohr's atomic model ภาพเปรียบเทียบแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดกับของโปร์ อิเล็กตรอนของในแบบจำลองของรัทเทอร์ฟอร์ดอยู่รอบนอกกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของอะตอม ไม่ได้เจาะจงว่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นพิเศษ ในขณะที่ของโปร์ระบุเจาะจงไปว่าอิเล็กตรอนจะอยู่ในวงโคจรเฉพาะเท่านั้น

ทฤษฎีของโปร์อธิบายค่าสเปกตรัมที่มีค่าเฉพาะบางค่า ยืนยันว่าอิเลกตรอนในอะตอมนั้นไม่ปลดปล่อยหรือดูดกลืนพลังงานอย่างต่อเนื่อง อย่างที่คิด ๆ กันผ่านกลศาสตร์คลาสสิกและทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์แวล เป็นการปฏิเสธกฏของฟิสิกส์คลาสสิกในระดับพื้นฐาน และยอมรับว่าเราต้องหาคำอธิบายในรูปแบบที่เป็นควอมตัมมาอธิบายเรื่องนี้ คำอธิบายแบบควอนตัมนี้เชื่อมโยงสเปกตรัมที่สังเกตได้จากดาวฤกษ์ โครงสร้างอะตอม และก็ค่าคงที่ของพลังค์เข้าด้วยกัน นอกจากนั้นยังอธิบายเรื่องการมีค่าควอนไทซ์ของโมเมนตัมเชิงมุมของอิเล็กตรอน ทว่าแบบจำลองนี้เพียงยืนยันว่าอิเล็กตรอนในอะตอมอยู่ได้อย่างเสถียรด้วยระดับชั้นพลังงานพิเศษ แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งลูกท่านหลานเธอชาวฝรั่งเศษแห่งบ้านบรอยได้เข้ามาตอบเรื่องนี้

ความเป็นคลื่นของอนุภาค

หลุยส์ เดอบรอย (Louis de Broglie) ในวัย 32 ปีได้เสนอบางสิ่งเข้ามาในงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขา เขาเสนอว่าสสารทุกอย่าง รวมถึงอิเล็กตรอนด้วย มีสมบัติของความเป็นคลื่นอยู่ เขาเสนอว่าค่าความยาวคลื่นของสสารเป็นไปตามสมการ

λ=hp\lambda = \frac{h}{p}

นั่นคือค่าความยาวคลื่นของสะสารมีค่าเท่ากับส่วนกลับของจำนวนเท่าของโมเมนตัมต่อค่าคงที่ของพลังค์18

สมมติฐานของเดอบรอยจะนำไปสู่การอธิบายว่าทำไมอิเล็กตรอนถึงมีวงโคจรที่สเถียรและเป็นจำนวนเท่าของค่าบางค่าเท่านั้น ไม่ได้เป็นค่าที่ต่อเนื่องกันไป ชายบ้านบรอยคนนี้ได้รับแนวคิดเรื่องการพิจารณาสมบัติความเป็นคลื่นของสสารมาจากระบบการคิดเกี่ยวกับกลศาสตร์ของฮามิลตันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับการเคลื่อนที่ของแสงที่จะเคลื่อนที่ผ่านเส้นทางที่เวลาสั้นที่สุด และก็ยังส่งผลให้ชโรดิงเจอร์พยายามจะค้นหาสมการคลื่นที่อธิบายพฤติกรรมของเจ้าคลื่นสสารนี้ จนทำให้เรามีสมการที่เรียกว่าสมการคลื่นของชโรดิงเจอร์ทีเป็นเหมือนกับรากฐานที่ใครเรียนฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัยก็ต้องเจอ

ควอนไทเซชั่น: ธรรมชาติของโลกควอนตัม

ควอนไทเซชั่นคือหลักการบางอย่างที่ทำให้พลังงานหรือปริมาณอื่นในฟิสิกส์สามารที่จะรับหรือส่งได้เป็นค่าจำเพาะเท่านั้น คำอธิบายนี้เข้ามาแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กตรอนและอะตอม ผลการทำนายการวัดที่ออกมาผ่านปรากฎการณ์ต่าง ๆ ก็เที่ยงตรงมากขึ้น แต่ในธรรมชาติและตามความเป็นจริง อิเล็กตรอนจะรับพลังงานและส่งผ่านพลังงานในหน่วยที่เป็นก้อน ๆ จริง ๆ หรือเปล่า หรือการรับส่งแสง/คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้นที่มีลักษณะเป็นก้อน ที่อาจจะเป็นแบบอย่างหลังก็เพราะจะเห็นได้ว่าการทดลองก่อนหน้าทั้งหมดมีแสงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

ปัญหาที่ว่านี่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่นาน จนกระทั่งมีการทดลองที่แสดงให้เห็นได้ว่า ควอนไทเซชั่นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในระดับชั้นพลังงานของอะตอม ไม่ใช่เพียงทริคของแสง หรือไม่ใช่เพียงทริคในการคำนวณเท่านั้น

การทดลองแรกที่แสดงให้เห็นว่าอะตอมนั้นรับพลังงานในค่าที่ไม่ต่อเนื่องจริง ๆ ก็คือการทดลองของแฟรงก์และเฮิร์ตซ์ (Franck–Hertz Experiment) ในปี 191419

Franck-Hertz Experiment ภาพการทดลองของแฟรค์-เฮริตซ์ เส้นสีแดงแสดงเส้นทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนสองตัว ตัวแรกวิ่งผ่านอย่างอิสระไปยังขั้วบวก ในขณะที่อิเล็กตรอนอีกตัววิ่งไปชนแบบไม่ยืดหยุ่นกับอะตอมของปรอท (แทนด้วยวงกลมสีฟ้า) ทำให้ศูนย์เสียพลังงานและไม่เหลือพลังงานพอที่จะไปต่อยังขั้วบวก

การทดลองนี้ใช้หลอดสุญญากาศที่ภายในบรรจุเฉพาะก๊าซของปรอท และมีแผ่นตัวนำขั้วบวกและลบอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง (C,A)เมื่อค่าความต่างศักย์ระหว่างสองปลายนี้สูงพอ ก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ พวกเขาวัดค่ากระแสที่เกิดขึ้นในวงจรนี้เมื่อเปลี่ยนค่าความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองด้านของแผ่นตัวนำ ทีนี้ เพื่อที่จะวัดว่าอิเล็กตรอนมีพลังงานเท่าไหร่ เอาตาข่ายตัวนำ (G) มาวางไว้เบื้องหน้าของแผ่นตัวนำขั้วบวก โดยแผ่นตัวนำนี้จะมีความต่างศักย์ระหว่างขั้วลบกับตัวมันที่มากกว่าระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบ ทำให้อิเล็กตรอนบางตัวที่เข้าไปชนกับอะตอมและเสียพลังงานให้อะตอม ไม่มีพลังงานมากพอที่จะไปต่อยังขั้วบวก

Franck--Hertz experiment result ภาพสร้างใหม่จากผลการทดลองต้นฉบับของแฟรงก์และเฮิร์ตซ์ ภาพจากวิกิมีเดีย

ผลการทดลองพบว่ากระแสไฟฟ้านั้นตกลงกระทันหันในบางค่าความต่างศักย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอะตอมรับพลังงานได้ในค่าเฉพาะบางค่าเท่านั้น เนื่องจากการทดลองนี้ไม่มีการวัดที่เกี่ยวกับแสงมาเกี่ยวข้องเลย ทำให้เราเห็นว่าธรรมชาติของอะตอมเป็นแบบที่โปร์เสนอจริง ๆ

ไม่เพียงแต่ค่าพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมเท่านั้นที่มีค่าไม่ต่อเนื่อง ค่าทางฟิสิกส์อื่น ๆ ก็สามารถแสดงสมบัติว่ามันมีค่าได้เพียงบางค่าเช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็คือค่าโมเมนต์แม่เหล็กและรวมถึงทิศทางของมัน สมบัตินี้ปรากฏตัวให้เราเห็นครั้งแรกแผ่านการทดลองของ สเติร์น–เกอร์ลาค (Stern-Gerlach experiment) 20

Stern-Gerlach Experiment By Tatoute - Own work, CC BY-SA 4.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=34095239

การทดลองนี้ยิงอะตอมเงินผ่านสนามแม่เหล็ก อะตอมที่มีโมเมนต์แม่เหล็กอย่างอะตอมของเงินก็จะถูกทำให้โค้ง จะโค้งมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าทิศทางของโมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมกับทิศทางของสนามทำมุมกันมากเท่าใด ซึ่งถ้ายิงออกไปสุ่ม ๆ ผลที่ควรจะได้คือเลข 4 อะตอมตกลงบนฉากปรากฏเป็นเส้นซึ่งเป็นผลที่ฟิสิกส์ในยุคก่อนหน้านั้นทำนาย แต่ว่าผลการทดลองเป็นไปตามเลข 5 ในภาพซึ่งเป็นผลที่แสดงให้เห็นว่าทิศของโมเมนต์แม่เหล็กของอะตอม (สปิน) มีธรรมชาติที่เป็นแบบควอนตัม คือเป็นได้เฉพาะบางค่า ในที่นี้คือได้เพียงแค่สองค่าเท่านั้น

การทดลองทั้งสองนี้ตอกย้ำว่าควอนไทเซชั่นไม่ได้เพียงช่วยให้เราคำนวณค่าอื่น ๆ ในปลายทางอย่างถูกต้อง หรือปรากฏตัวแค่ในกรณีที่มีอิเล็กตรอนหรือแสง แต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติเป็นจริง ๆ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ใช่ว่าปรากฎการณ์ควอนตัมจะเผยออกมาในระดับเล็ก ๆ เท่านั้น ในระบบที่ใหญ่แต่หากมีการควบคุมและลดสัญญาณรบกวนจากภายนอกที่ดีเพียงพอก็สามารถแสดงพฤติกรรมแบบควอนตัมได้เช่นกัน

สรุป

การทดลองและผลการทดลองทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าธรรมชาติไม่ได้ประพฤติตัวตามทฤษฎีคลาสสิกที่เรามีมา แต่ประพฤติตัวตามทฤษฎีที่มีกฎและหลักการบางอย่างที่ทำให้พลังงานที่รับ/ส่งได้เป็นค่าจำเพาะเท่านั้น ความไม่ต่อเนื่องของค่าทางฟิสิกส์เหล่านี้เป็นหนึ่งในคุณลักษณะสำคัญที่นำไปสู่ทฤษฎีควอนตัมยุคเก่า (The old quantum theory) และภายหลังก็กลายเป็นกลศาสตร์ควอนตัม อันเป็นรากฐานของทฤษฎีควอมตัมทั้งหลาย ในบทความต่อ ๆ ไปเราจะไปสำหรวจกันว่าในกลศาสตร์ควอนตัม มีคุณลักษณะอื่น ๆ ใดอีกบ้างที่โดดเด่นหรือแตกต่างไปจากทฤษฎีคลาสสิกที่เรามี

อ้างอิงและข้อมูลเพิ่มเติม

Footnotes

  1. W. Wien, “XXX. On the division of energy in the emission-spectrum of a black body,” The London, Edinburgh, and Dublin Philosophical Magazine and Journal of Science, vol. 43, no. 262, pp. 214–220, Mar. 1897, doi: 10.1080/14786449708620983.

  2. M. Planck, “Ueber das Gesetz der Energieverteilung im Normalspectrum,” Annalen der Physik, vol. 309, no. 3, pp. 553–563, Jan. 1901, doi: 10.1002/andp.19013090310. English Translation available at https://strangepaths.com/files/planck1901.pdf.

  3. ʻabd Al-Ḥamīd Ṣabra, Theories of light from Descartes to Newton. Cambridge: Cambridge University Press, 1981.

  4. I. Newton, “A letter of Mr. Isaac Newton, Professor of the Mathematicks in the University of Cambridge; containing his new theory about light and colors: sent by the author to the publisher from Cambridge, Febr. 6. 1671/72; in order to be communicated to the R. Society,” Phil. Trans. R. Soc., vol. 6, no. 80, pp. 3075–3087, Feb. 1672, doi: 10.1098/rstl.1671.0072.

  5. I. Newton, Opticks: Or, A Treatise of the Reflections, Refractions, Inflections, and Colours of Light. New York: Dover Publications, 1952. Also accessible online at: https://www.gutenberg.org/cache/epub/33504/pg33504-images.html.

  6. C. C. Silva and B. A. Moura, “Science and Society: The Case of Acceptance of Newtonian Optics in the Eighteenth Century,” Sci & Educ, vol. 21, no. 9, pp. 1317–1335, Sept. 2011, doi: 10.1007/s11191-011-9380-1.

  7. “VIII. A dynamical theory of the electromagnetic field,” Phil. Trans. R. Soc., vol. 155, pp. 459–512, Dec. 1865, doi: 10.1098/rstl.1865.0008.

  8. M. Fowler, “Photoelectric Effect,” galileo.phys.virginia.edu., Accessed: Oct 10, 2025, [Online], Available: https://galileo.phys.virginia.edu/classes/252/photoelectric_effect.html

  9. J.J. Thomson, "On Bodies Smaller Than Atoms", Popular Science Monthly, Vol.59 (1901), Access: https://en.wikisource.org/wiki/Popular_Science_Monthly/Volume_59/August_1901/On_Bodies_Smaller_Than_Atoms.

  10. P. Lenard, “Erzeugung von Kathodenstrahlen durch ultraviolettes Licht,” Annalen der Physik, vol. 307, no. 6, pp. 359–375, Jan. 1900, doi: 10.1002/andp.19003070611.

  11. M. Jammer, The conceptual development of quantum mechanics, Tomash Publishers, American Institute of Physics, 1989. Also available online: https://archive.org/details/max-jammer.-the-conceptual-development-of-quantum-mechanics/. 2 3

  12. A. Einstein, “Über einen die Erzeugung und Verwandlung des Lichtes betreffenden heuristischen Gesichtspunkt,” Annalen der Physik, vol. 322, no. 6, pp. 132–148, Jan. 1905, doi: 10.1002/andp.19053220607. English Translation from Wikisource

  13. G. Holton, Quantum Milestones, 1916: Millikan’s Measurement of Planck’s Constant, "American Physics Society", Physics, [Online], Accessed: Oct 22, 2025, Available: https://physics.aps.org/articles/v18/12

  14. J. W. Nicholson, “The Spectrum of Nebulium,” Monthly Notices of the Royal Astronomical Society, vol. 72, no. 1, pp. 49–64, Nov. 1911, doi: 10.1093/mnras/72.1.49.

  15. “ChemTeam: The Balmer Formula,” Chemteam.info, 2024. https://www.chemteam.info/Electrons/Balmer-Formula.html

  16. ดู 11 หน้า 77 และชื่อเต็มของ H.M. Hansen ได้มากจาก 21

  17. N. Bohr, “I. On the constitution of atoms and molecules,” The London, Edinburgh, and Dublin Philosophical Magazine and Journal of Science, vol. 26, no. 151, pp. 1–25, July 1913, doi: 10.1080/14786441308634955.

  18. L. de Broglie, “Recherches sur la théorie des quanta,” Thesis, University of Paris, 1924. English Translation

  19. อ่านรายละเอียดการทดลองต่อได้ที่ UCSB Physics Remote Labs, "The Franck-Hertz Experiment", https://ilg.physics.ucsb.edu/Courses/RemoteLabs/index.html?linkfile=FH_Remote

  20. W. Gerlach and O. Stern, “Der experimentelle Nachweis der Richtungsquantelung im Magnetfeld,” Z. Physik, vol. 9, no. 1, pp. 349–352, Dec. 1922, doi: 10.1007/bf01326983.

  21. M. Pihl, “H.M. Hansen,” Dansk Biografisk Leksikon | Lex, Jul. 17, 2011. https://biografiskleksikon.lex.dk/H.M._Hansen (accessed Oct. 18, 2025).

A blog by Qwanta running on classical computers